วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ยอมให้กันบ้าง เพื่อรักที่เข้าใจมากขึ้น

     





      ไม่มีใคร "เถียงกัน" แล้ว "เข้าใจกันมากขึ้น" หรอก มีแต่ "ยอมฟังกันและกัน" ต่างหาก ถึงจะเข้าใจกันได้จริง ๆ 

           บ่อยครั้งที่คนรักกันจะเจออุปสรรคทางความคิด บางทีคิดไม่ตรงกัน ก็เกิดเป็นความขัดแย้ง ยิ่งถ้ามีฝ่ายไหนเอาแต่ใจว่าตัวเองคิดถูกฝ่ายเดียว อีกฝ่ายก็จะเถียงโดยอัตโนมัติ เถียงกันบ่อย ๆ ก็เหมือนกับการสร้างแผลทางใจให้กันอยู่เรื่อย ๆ ครั้งแรกอาจแค่ถลอก แต่ถ้าเถียงบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างที่เราคาดไม่ถึง รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะทำให้ความรักมีแผลไปถึงไหน นานไปก็จะกลายเป็นแผลเป็น แล้วจะนึกถึงกันแบบเจ็บปวด เพราะมีแต่คำพูดร้าย ๆ ที่ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นสักนิด 

           ยิ่งเถียงกันด้วยอารมณ์ ก็ยิ่งควบคุมได้ลำบาก "บางครั้งคำพูดแรง ๆ บางคำ ก็จะหลุดออกมา ทั้ง ๆ ที่คนพูดไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมาจริง ๆ" ถึงจะอธิบายในตอนหลังว่าไม่ได้ตั้งใจ มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะคนฟังมันเสียใจไปแล้ว อย่างนี้นี่เอง เขาถึงให้ระมัดระวังอย่าปล่อยให้ความรัก ถูกกระทบกระเทือนบ่อย ๆ ไม่ว่าจะทั้งการกระทำและคำพูด ถ้ายอมกันไม่ได้...การจะเดินไปด้วยกัน ให้ถึงจุดหมายมันก็ลำบาก 

           สำหรับบางคน การ "ยอม" อาจหมายถึงความพ่ายแพ้ ก็แปลว่าคนคนนั้น...ไม่ได้พร้อมที่จะมีความรัก ไม่ควรที่จะรักใคร และไม่สมควรที่จะถูกใครรัก เพราะถ้าพร้อมที่จะรักได้จริง สิ่งสำคัญบางอย่างที่เราต้องยอมปล่อยมันทิ้งระหว่างทางบ้างก็คือ "ทิฐิ" การมีทิฐิจะกี่มากน้อยไม่สำคัญเท่ากับครั้งหนึ่งรู้จักวางทิฐิลง เพื่อที่จะประคับประคองความรักให้ยังอยู่ ไม่ใช่ถือทิฐิแบบวางไม่ลง พาลทำให้ความรักเกิดแผล และมานั่งเจ็บปวดทรมานกับแผลที่ตัวเองสร้างขึ้นภายหลัง 

           ยอมให้กันบ้างก็ได้...มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย ฝึกที่จะ "ยอมฟังกันและกัน" ให้คุ้นเคย แล้วจะรู้ว่ามันคุ้มค่าที่ได้เข้าใจกัน และความรักก็จะนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ เรา 

           การชนะอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีการชนะใดจะสำคัญเท่าการชนะใจตัวเอง ลองดูนะ ลองชนะใจตัวเองดูสักครั้ง แทนที่จะแย่งกันเถียง ๆ ๆ ๆ ก็เปลี่ยนมาแย่งกันยอม ๆ ๆ ๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ สถานการณ์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ...ฉันเห็นออกจะบ่อยว่าพอมีอีกคนยอม อีกคนก็จะยอมตาม ถ้ามีอีกคนยอมรับว่าตัวเองผิด ก็จะมีอีกฝ่ายบอกว่า "ไม่หรอก ผมต่างหากที่ผิด" จากนั้นการสลับกันตัวเล็กตัวใหญ่ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เห็นไหมว่าคำคำเดียว สามารถพลิกเหตุการณ์เลวร้ายให้กลับมาดีขึ้นได้ คำว่า"ยอม" ..."ผมก็ยอม" ฟังดูดีกว่าคำว่า "ฉันไม่ยอม!" "ผมก็ไม่ยอม!" เป็นไหน ๆ

           เรื่องความรักยังมีอีกหลาย ๆ องค์ประกอบที่จะเกิดขึ้น เวลารักใครสักคนก็เหมือนเวลาทำข้อสอบ ต้องทำไปทีละข้อ ๆ และพร้อมที่จะสอบอยู่เสมอ อย่าบั่นทอนความรักให้แย่ลงด้วยการเถียงกันเลย มาทำความรักของเราให้ดีกันดีกว่า ครั้งหน้าถ้ามีเรื่องไม่เข้าใจกัน จนถึงขั้นต้องเถียงกันอีกรอบล่ะก็...เราลองเป็นฝ่ายพูดก่อนสิว่า "ยอม" ฉันเชื่อว่าต่อให้เป็นคนใจแข็งที่สุดในโลก ลองถ้าเจอคำคำนี้เข้าก็ต้องเผลอใจอ่อนพูดคำว่า "ยอม" ออกมาเหมือนกันนั่นแหละ จำไว้นะ...โลกนี้ไม่มีใครใจแข็งเท่าเราหรอก ถ้าคนใจแข็งอย่างเราไม่ยอมก่อนแล้วใครจะกล้ายอมบ้างล่ะ...จริงไหม?

ทรงผมสำหรับสาวหูกาง


         เกิดมาเป็นสาวหูกาง ใช่ว่าจะสวย เริ่ด เชิด มั่นไม่ได้นะคะ เพราะเดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็เป็นไปได้หมด จุดไหนไม่พอใจก็แต่งนิด เสริมหน่อย ตัดนู่น เติมนี่ ก็ดูดีขึ้นได้แล้ว (ปัจจุบันการทำศัลยกรรม ได้รับการยอมรับมากขึ้น อยากสวย หรือพอใจทำก็ทำไปเถอะค่ะ ขอแค่เลือกสวยให้ถูกวิธี ถูกต้อง และปลอดภัย ก็โอเคแล้วค่ะ ^^)


          ส่วนสาว ๆ ที่มีปมนิด ๆ แต่ไม่ถึงกับด้อยมากอะไรมาก อย่าง "สาวหูกาง" หากไม่อยากทำศัลยกรรม ก็มีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณสวยดูดีขึ้นได้ นั่นคือ... การเลือกทรงผมให้เหมาะกับบุคลิก และช่วยอำพรางใบหูกาง ๆ ของคุณค่ะ ซึ่งทรงผมที่เหมาะกับสาวหูกางคือ ทรงผมที่เน้นช่วงปลายผมให้ดูพอง ๆ อย่างทรงผมดัดลอนใหญ่ ทรงม้วนโรลตั้งแต่ช่วงหูลงมา หรือถ้าอยากไว้ผมสั้นก็ทำได้ เพียงแค่เลือกทรงที่มีความยาวปิดใบหู แล้วทำผมพอง ๆ ฟู ๆ อาจดัดปลายผมเพิ่ม ก็ช่วยพรางความกางของหูได้เยอะค่ะ ที่สำคัญหากผมไม่หนาพอ คุณไม่ควรทำทรงผมตรงอย่างเด็ดขาด เพราะจะเน้นให้เห็นใบหูมากขึ้น ประมาณว่า ผมตรงลีบแบนลงมา แล้วมีใบหูโผล่ออกมาอย่างเห็นได้ชัดขึ้น (อร๊ายยย... ไม่นะ!!)



          สำหรับสาวหูกางคนไหนที่ยังคิดไม่ออก และไม่รู้จะทำผมทรงไหนดี วันนี้กระปุกดอทคอมมีแบบทรงผมน่ารัก ๆ อินเทรนด์ ๆ สำหรับคนหูกางมาฝากเพื่อน ๆ กันด้วย ถ้าพร้อมจะสวยมั่นใจไปกับทรงผมใหม่แล้ว ก็ตามไปดูกันเลย...















เอาใจแฟนอย่างไร ให้เขารู้ว่ารักโดยไม่ต้องพูด


        


     หลังจากเป็นแฟนกันแล้ว เราก็มักจะลืมที่จะทำอะไรหวานแหววเพื่อเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ให้กัน เพราะเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องแสดงความรักให้มากก็รู้กันอยู่แล้ว แต่ที่จริงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็อยากให้อีกฝ่ายทำอะไรหวาน ๆ ให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนสำคัญทั้งนั้นแหละ ซึ่งถึงแม้จะรู้อย่างนั้น หลาย ๆ คนก็อาจจะเขินถ้าจะต้องบอกรักแฟนตัวเองอยู่ดี ดังนั้น วันนี้กระปุกจึงได้รวบรวมวิธีแสดงออกให้เขารู้ว่ารักโดยไม่ต้องพูดมาฝาก ลองไปอ่านกันดูเลยค่ะ 

1. รวมอาหารที่เขาชอบไว้ในมื้อใหญ่ของคุณ

          หลังจากคบกันได้สักพักแล้ว คุณก็คงพอจะรู้แล้วล่ะว่าเขาชอบทานอะไรเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งถ้าวันสำคัญวันไหนคุณอยากทำเซอร์ไพรส์ดี ๆ ให้เขาประทับใจบ้างล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องชวนเขาไปทานร้านอาหารแพง ๆ ให้เปลืองเงินหรอก แค่ชวนเขามาที่บ้านและทำอาหารอร่อย ๆ ที่เขาชอบทานให้ก็พอแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาจะรู้สึกดียิ่งกว่าไปภัตตาคารไหน ๆ ซะอีก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณตั้งใจทำเพื่อเขา แถมยังเอาใจใส่สังเกตสิ่งที่เขาชอบมาตลอดอีกด้วย

2. ให้เขาได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง 

          การแสดงออกว่าคุณไว้ใจเขาก็เป็นสิ่งสำคัญมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ลองทำตัวเป็นแฟนใจกว้าง ปล่อยให้เขาได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ โดยไม่มีคุณบ้าง โดยคิดซะว่าวันนั้นเป็นวันของเขากับเพื่อน ๆ ที่คุณให้เขาได้มีอิสระเต็มที่ แบบที่ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคุณจะคอยโทรตามจิกว่าเขาจะกลับบ้านเมื่อไหร่ เท่านี้ก็จะทำให้เขารับรู้ว่าคุณเข้าใจและเชื่อใจเขาได้ โดยไม่ต้องพูดแล้วล่ะ

3. ติดโน้ตน่ารัก ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ

          เซอร์ไพรส์โรแมนติกอย่างการซ่อนโน้ตที่เขียนข้อความให้กำลังใจไว้ในที่ต่าง ๆ ที่เขาคาดไม่ถึงก็สามารถทำให้เขาอารมณ์ดีไปทั้งวันได้เหมือนกัน โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเขียนข้อความหวานเลี่ยนยืดยาว แค่คำพูดให้กำลังใจสั้น ๆ เช่น "โชคดีนะ" หรือ "เป็นกำลังใจให้เสมอ" แค่นี้ก็พอแล้ว จากนั้นก็นำไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ อย่างตามลิ้นชักหรือในกระเป๋าเสื้อของเขา และไม่ต้องสนใจว่าเขาจะไปเปิดเจอเมื่อไหร่ วันไหนที่เขาเห็น อาจช่วยเป็นกำลังใจดี ๆ ในวันแย่ ๆ ได้อย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้นะ

          จำไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรการกระทำก็สำคัญกว่าคำพูด ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องบอกรักทุกวันเพื่อให้เขารู้ว่าคุณรักเขาหรอก แค่เอาใจใส่ดูแลเขาอย่างที่ควรทำ เท่านั้นก็พอแล้ว

ไข้หวัด 2009 กลับมาอีกครั้ง! โคราชติดเชื้อแล้ว 28 ราย





            แพทย์เผย ไข้หวัด 2009 กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ที่ จ.นครราชสีมา พบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมด 28 ราย ทั้งนี้ ได้กักบริเวณกันการแพร่เชื้อแล้ว คาดรักษาหายขาด

          วันนี้ (19 มิถุนายน) นพ.วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์ ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา (สสจ.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ได้ทำการควบคุมผู้ป่วยที่ติดเชื้อ  H5N1 หรือไข้หวัด 2009 จำนวน 28 ราย โดยในจำนวนทั้งหมดนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล 2 ราย และลูกของเจ้าหน้าที่ 2 ราย นอกเหนือจากนั้นเป็นผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาจำนวน 24 ราย 

          ทั้งนี้ นพ.วรัญญู ระบุว่า สำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และลูก รวมทั้งหมด 4 คน ได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยอีก 24 คน ทางโรงพยาบาลได้ทำการแยกออกจากผู้ป่วยทั่วไปแล้ว และกักบริเวณไว้ทั้งหมด 3 จุด เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ

          อย่างไรก็ตาม สำหรับอาการของผู้ป่วยทั้ง 28 ราย ยังไม่รุนแรงมากนัก โดยทั่วไปยังมีอาการไข้ขึ้นสูง แต่ไม่มีอาการหายใจลำบาก หรืออาการปอดบวม จึงไม่น่าเป็นห่วง ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถรักษาผู้ป่วยทั้งหมดให้หายขาดได้ไม่นานนี้ 

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข่าววันนี้ที่น่าสนใจ


สารภาพอ้างไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ เผยเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งโอรส ที่ก่อเหตุอุกอาจเป็นประจำ
จากกรณีที่ ด.ต.สนิท ริ้วทองชุม ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน ช่วยราชการกองกำกับการสืบสวนนครบาล 7 ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ขณะเข้าจับกุมยาเสพติด เมื่อคืนวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก่อนที่คนร้ายจะหนีไปได้นั้น
ล่าสุดวานนี้ (14 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางกอกน้อย ได้จับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้ว หลังได้หนีไปหลบอยู่ที่บ้านญาติย่านพุทธมณฑลสาย 2 ทราบชื่อต่อมาคือ นายบุญฤทธิ์ ด้วงไพร
จากการสอบสวนนายบุญฤทธิอ้างไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ ก่อนเกิดเหตุนำเงิน 20,000 บาทไปจ่ายค่ายาเสพติด ระหว่างที่ ด.ต.สนิท ขอตรวจค้น คิดว่าเป็นแก๊งค้ายากลุ่มอื่นจะมาชิงเงิน ประกอบกับอยู่ในอาการเมายา จึงก่อเหตุยิงแล้วนำปืนไปทิ้งที่สะพานพระราม 8 สำหรับนายบุญฤทธิ์เพิ่งพ้นโทษคดีจำหน่ายยาเสพติดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี54 และเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งโอโรส ค้ายาเสพติด
สำหรับแก๊งค์โอรส มีพฤติกรรมคล้ายกับกรณีโจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว ที่สมาชิกแก๊งมักสักลวดลายเต็มตัว และชอบถ่ายรูปกับอาวุธปืน พร้อมทั้งจัดทำคลิปเป็นของตัวเอง และนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์.

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เคล๊ดลับการดูแลผม


วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว
เคล็ดลับง่ายๆ ก็คือ การเป่าไดร์ผมจากชั้นผมด้านใต้ขึ้นมาโดยซับผมให้แห้งหมาดที่สุดก่อนเป่า ทามูสลงบนเส้นผมเล็กน้อยมันจะป้องกันเส้นผมจากความร้อนและเคลือบแกนผมไม่ให้ดูดซับน้ำมากขึ้นไปอีก จากนั้นก้มศีรษะลงหรือหนีบเส้นผมส่วนบนขึ้นไปและเป่าชั้นผมที่อยู่ด้านใต้ก่อน เมื่อมันเริ่มแห้งจึงใช้แปรงไดร์ผมที่อยู่ด้านบน เทคนิคนี้จะช่วยลดเวลาในการเป่าผมให้แห้งลงได้ราวหนึ่งในสาม และเพื่อให้การเป่าไดร์ผมเร็วขึ้นเลือกไดร์เป่าผมที่มีกำลังไฟอย่างน้อย 1,800 วัตต์ ไดร์ที่มีกำลังไฟสูงจะทำให้ผมแห้งได้ในเวลาที่น้อยกว่าเครื่องที่มีกำลังไฟต่ำกว่า







วิธีแก้ปัญหาผมแตกปลาย

วิธีที่ดี คือ การตัดปลายที่แตกออกและเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง เช่น ธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม วิตามินบีในจมูกข้าว กล้วย กรดอะมิโนในเมล็ดธัญพืช ไข่ และธาตุสังกะสีในข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน เป็นต้น 
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีและความร้อนสูงกับเส้นผมเป็นประจำเพื่อป้องกันผมแห้งเสียแตกปลาย สาวๆ อาจเจอปัญหาผมแตกปลายได้ง่ายกว่าคุณหนุ่มๆ เพราะผมที่ยาวกว่าและผ่านการทำเคมีและความร้อนมากกว่านั่นเอง 






ผมเงางาม ด้วย สูตรหมักผมธรรมชาติ

ส่วนผสม
กล้วยหอม 1/2 ผล
อะโวคาโด 1/4 ลูก
แคนตาลูป 1/4 ลูก
น้ำมันสกัดจากจมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ

นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นจนได้เนื้อเนียนละเอียดนำมาชโลมลงบนเส้นผมทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างน้ำออกให้สะอาด







เคล็ดลับผมแตกปลาย

นำไข่แดงของไข่ไก่จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นชโลมน้ำอุ่นให้ทั่วศีรษะแล้วค่อยเทส่วนผสมที่ทำไว้ทั่วศีรษะ คลุมศีรษะด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยแชมพูอ่อนๆ เพียงเท่านี้ผมของคุณก็จะเริ่มกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งไร้ผมแตกปลาย

การตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า ^^:





เคล็ดลับ ตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า เลือกทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้า

- สาวหน้ารูปไข่

ใบหน้ารูปไข่ คือ สาวที่มีความยาวของใบหน้าเป็น 1.5 เท่าของความกว้าง และมีความกว้างของหน้าผากมากกว่าช่วงกรามเล็กน้อย สาวที่มีใบหน้ารูปไข่จัดว่าโชคดีมากเพราะเป็นใบหน้าที่เข้ากับทรงผมแบบใด ความยาวเท่าไหร่ก็ได้ สาวหน้ารูปไข่สามารถสไลด์ผมที่ช่วงใดช่วงหนึ่งของใบหน้าเพื่อให้ส่วนนั้นเป็นจุดเด่นก็ได้ เช่น หากอยากเน้นแก้มก็สามารถสไลด์ผมที่ระดับแก้มได้ เพียงแต่ระวังไม่ทำทรงผมที่เพิ่มความสูงให้กับศีรษะ เพราะจะทำให้หน้าดูยาวเกินไปนั่นเอง

- สาวหน้ากลม

สาวหน้ากลม มีคางสั้น บางครั้งก็มีแก้มแถมมาด้วยทำให้ความกว้างและความยาวของใบหน้าดูเท่าๆ กันไปหมด ทรงผมที่เข้ากับสาวหน้ากลมควรเป็นทรงผมที่เพิ่มความสูงให้ศีรษะและเล่นระดับจากด้านบนศีรษะลงมาด้านล่างเพื่อเป็นการถ่ายเทน้ำหนักและความอวบกลมของใบหน้าให้กระจายออกไป ส่วนผมข้างๆ ไม่ควรปล่อยให้ฟูเพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูกลมเข้าไปใหญ่ ทำผมเรียบๆ หรือจะปล่อยยาวตรงลงมาแล้วเหน็บไว้ข้างหูจะดีกว่าค่ะ

- สาวหน้าลูกแพร์

สาวหน้ารูปลูกแพร์ คือ คนที่มีหน้าผากแคบกว่าช่วงกรามและมีคางเล็กกลม ทรงผมที่เข้ากับรูปหน้าแบบนี้ควรเป็นผมที่ทำแล้วช่วยหลอกตาว่าส่วนหน้าผากมีความกว้างกว่าหรือพอๆ กับช่วงกราม โดยเลือกทรงที่เพิ่มความกว้างให้กับหน้าผากและช่วงขมับนั่นเอง 

- สาวหน้ารูปหัวใจ

ใบหน้ารูปหัวใจมีช่วงกรามเป็นส่วนที่แคบที่สุดของใบหน้าและอยู่ค่อนข้างสูงมีช่วงหน้าผากกว้างและมักมีคางที่แคบประกอบด้วย ทรงผมที่เหมาะกับใบหน้ารูปนี้ควรจะดึงความสนใจออกไปจากบริเวณโหนกแก้มและช่วงคางเพื่อให้ดูกลมกลึงขึ้น อย่างผมผมบ็อบที่เซ็ทปลายสะบัดหรือสไลซ์ปลายดูบางเบาไม่เน้นโหนกแก้มและดูฟุ้งๆ ทำให้คางซอฟท์ลง หรือถ้าเป็นผมยาวจะดัดอ่อนๆ ก็สามารถทำได้ เพราะช่วยบดบังโหนกแก้มและไม่เน้นคางที่เล็กแหลมด้วยค่ะ

- สาวหน้ารูปเพชร

หน้ารูปเพชรมีช่วงโหนกแก้มค่อนข้างกว้าง ในขณะที่หน้าผากและคางแคบ ผมสำหรับหน้ารูปเพชรต้องช่วยพรางโหนกแก้มได้รวมทั้งเพิ่มความกว้างของหน้าผากไปด้วยเช่นกัน

- สาวหน้ารูปเหลี่ยม

หน้าทรงนี้มีหน้าผากกว้าง คางปาด และโหนกแก้มเยอะ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นเป็นรูปเหลี่ยมชัดเจน แบบผมสำหรับหน้าทรงนี้ต้องทำให้หน้าดูซอฟท์ลง การแสกข้างสามารถจะช่วยได้ รวมถึงการสไลด์ไล่ระดับตามกรอบหน้าหรือดัดปลายเป็นลอนอ่อนๆ ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าดูนุ่มนวลขึ้นได้ หลีกเลี่ยงบ็อบตรงหรือผมสั้นระดับคาง เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นเหลี่ยมมุมของใบหน้าชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

วิธีแก้ไขปัญหา คอมพิวเตอร์ค้าง = =?





  • ลองกดปุม Ctrl + Alt + Del ทั้ง 3 ปุ่ม พร้อมกัน? เราจะพบหน้าต่าง "Task Manager"? ให้สังเกตแท็ป "Applications" ถ้ามีโปรแกรมใด โปรแกรมหนึ่งมี "Status" Non Response" ให้คลิกเลือกโปรแกรมนั้นๆ และคลิกปุ่ม "End Task"
  • ถ้าไม่มีเลย กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del ไม่ได้? มีทางเดียวคือ การกดปุ่ม (Power) ปิด? ค้างไว้ จนกระทั่ง Windows Shutdown ลงเอง? จากนั้นให้ให้รอสักครู่ และเริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง
  • เคล๊ดลับการถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์ O^O'



    1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการ ตาแห้ง เกิด จากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 – 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 – 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

    2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้ บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 – 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 – 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
    3. ปรับความสว่างของห้อง ควร ปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า
    4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควร เลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษร ได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)
    5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควร เลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 – 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
    6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน
    รู้ถึงเคล็ดลับดีๆ อย่างงี้กันไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันนะคะ เพื่อ สุขภาพดวงตาที่ดีของเพื่อนๆ ผู้รักการเล่นคอมฯ เป็นชีวิตจิตใจ เพราะดวงตาของเราเป็นหน้าต่างของหัวใจ อย่าลืมถนอมมันให้ใช้ได้นานๆ นะจ๊ะ

    สุดยอดอาหารล้างพิษ !



    ขึ้นชื่อว่าอาหารล้างพิษ หลายคนคงนึกว่าหากินได้ยาก แต่อาหารล้างพิษดังต่อไปนี้หากินได้ง่ายแสนง่าย ไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง
    สาหร่าย - พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม แต่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดาระบุชัดว่า สาหร่ายสามารถดูดซึมของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรังสีจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งพลังงานความร้อนจากรังสีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ สาหร่ายยังอุดมไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่จำนวนมาก
    หัวหอม - ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือรักษาโรคเบาหวานได้ โดยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
    มะนาว - สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำมะนาวสดผสมกับน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน จะสามารถช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
    กระเจี๊ยบ - น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสในระบบทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก มีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
    ทับทิม - ตำราแพทย์แผนโบราณของเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด จึงช่วยล้างพิษ ลด การติดเชื้อของเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
    พืชตระกูลถั่ว - ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วขาว ล้วนมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งยังสามารถลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
    ขึ้นฉ่าย - สุดยอดอาหารทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต การดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าจะช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ นอกจากนี้ ขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง รวมไปถึงช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ ด้วย
    แครอต - อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
    มะเขือพวง - มะเขือพวงอุดมด้วยไฟเบอร์จึงช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ที่สำคัญคือสามารถช่วยจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายได้ ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว จึงลดการสะสมของของเสียได้อยู่
    ส้มโอ / เกรปฟรุต - คนตะวันตกนิยมกินเกรปฟรุตในอาหารมื้อเช้า เนื่องจากสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทาง เดินในหลอดเลือดได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนด้วย
    กระเทียม - กระเทียมช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิ รวมไปถึงไวรัสในทางเดินอาหารได้อย่างดี ทั้งยัง ต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
    บลูเบอร์รี่ - ในบลูเบอร์รี่นั้นมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้ การกินบลูเบอร์รี่ยังช่วยขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะลดลง ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
    กะหล่ำ - ช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ โดยพืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม เป็นต้น
    บีตรูต - ผักมหัศจรรย์ที่ประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จึงมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย และล่าสุดยังพบว่าบีตรูต ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    อะโวคาโด - ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักได้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนเป็นประจำ จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
    ตำลึง - ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ มีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
    แอปเปิล - ประกอบไปด้วยเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยล้างพิษได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง รวมทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้
    อัลมอนด์ - มีใยอาหาร แคลเซียม และโปรตีนสูง แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย การกินอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    กล้วย - หากินได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล นอกจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 10 วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก และทองแดงแล้ว กล้วยยังมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันสารทริปโตแฟนที่มีอยู่ในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาทหรือนิวโรทรานสมิตเตอร์ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น ทริปโตแฟนนี้ยังช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคนอนไม่หลับได้ด้วย อ้อ การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกและทำให้ระบบขับถ่ายเป็น ปกติอีกด้วยนะคะ

    8 วิธีทำหน้าใส ได้อย่างใจคิด ><:



    1.  ถ้าเป็นคนที่ชอบแต่งหน้า เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าของเราอย่างถูกวิธี เพื่อผิวหน้าของเราจะได้สะอาด หน้าใสไร้สิวนะจ๊ะ

    2. ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกสบู่ล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเองนะคะ อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้สบู่แบบออยล์คอนโทรล เป็นต้นค่ะ และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้นะคะ
    3. ก่อนล้างหน้าควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน หลังจากนั้นใช้สบู่ล้างหน้าและล้างฟองออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขนค่ะ ซับหน้าด้วยผ้าขนหนูเบาๆและใช้สำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าอีกครั้งค่ะ เพื่อกระชับรูขุมขน
    4. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า เพื่อป้องกันริ้วรอยและรอยหมองคล้ำต่างๆก่อนวัยอันควรจ๊ะ
    5. หาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้งนะค่ะ เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ
    6. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาด ให้มากๆค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ ดีต่อผิวของเรานะจ๊ะ
    7. ออกกำลังเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินเพื่อช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และหน้าใสมีเลือดฝาดค่ะ
    8. ยิ้มร่าเริงแจ่มใส ทำใจให้สดชื่น เพราะจิตใจมีผลควบคู่ไปกับร่างกาย ผิวพรรณและสุขภาพที่ดีนะคะ

    Starships (Explicit) Nicki Minaj

    SSD ดีกว่าฮาร์ดดิสทั้วไปอย่างไร ?




             สิ่งที่เด่นกว่าชัดเจนของฮาร์ดดิสแบบ SSD ก็มีอัตราการเข้าถึงข้อมูล (access time) ที่เร็วกว่าฮาร์ดิสแบบจานแม่เหล็กเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบากว่า การใช้พลังงานที่ต่ำกว่าและมีความทนทานสูงกว่าอีกด้วย แต่ SSD ยังมีราคาสูงเกินไปกว่าจะซื้อมาใช้  รวมทั้งยังมีความจุที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสแบบจานแม่เหล็ก

    การรักษาแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คอย่างถูกต้อง :)


         1. พยายามลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่เกินกำลัง เช่น เมื่อ Notebook
    เมื่อไม่ได้ใช้งาน wireless lan, bluetooth ก็ควรปิด ไม่ควรเปิดไว้เพราะว่าระบบเหล่านี้
    จะทำงานกินไฟไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นซึ่งทำให้เปลืองพลังงานแบตเตอรี่

         2. พยายามถอดแบตเตอรี่ออกทุกครั้งที่มีการเสียบไฟบ้าน สำหรับใน
    กรณีนี้เป็นข้อแนะนำที่อาจจะดูกลาง ๆ หรือว่าไม่จำเพาะเจาะจงว่าต้องทำ เนื่องจาก
    Notebook หลาย  ๆ รุ่นจะมีระบบตัดไฟอยู่แล้ว เมื่อพบว่า Battery เต็มอยู่ ก็จะ
    ปรับไปใช้งานระบบไฟบ้านเพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Notebook
    ทุกรุ่นจะมีหรือสามารถทำได้ ซึ่งยังมี Notebook อีกหลายรุ่นที่ไฟจะถูกดึงจาก
    battery เป็นหลัก แม้ว่าจะเสียบไฟบ้านก็ตามซึ่งผลของมันคือ จะทำให้ Battery
    ทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งชาร์ตและจ่ายไฟในคราวเดียวกัน ส่งผลทำงานมากขึ้น เกิด
    ความร้อนและทำให้ cell battery เสื่อมในที่สุด

         3. ควรเคลียร์ Cell Battery ทุก ๆ สามสิบครั้งของการชาร์ต เนื่องจากแบตเตอรี่
    ในกลุ่มนี้จะนับจำนวนรอบและชาร์ตพลังเดิมได้ตลอด ทำให้หลาย ๆ ครั้งที่ประจุมีอาการ
    เหมือนกับคั่งค้างอยู่ในแบตเตอรี่จนทำให้ Noteboook แสดงปริมาณของไฟไม่ตรง
    ซึ่งสังเกตุได้จากอาการที่เครื่องปิดตัวเองเหมือนกับแบตเตอรี่อ่อน ทั้ง ๆ ที่เครื่องของคุณ
    ยังแสดงปริมาณเหลืออีกเกือบครึ่ง เป็นต้น นั่นหมายถึงว่ามีประจุคั่งค้างใน cell battery
    เสียแล้ว วิธีการแก้ไขคือ ทุกครั้งการชาร์ตไปแล้วประมาณ 30 ครั้ง ควรจะเปิดเครื่องใช้
    งานจนแบตหมดจริง ๆ แล้วชาร์ตให้เต็มซักครั้ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หรืออาจจะ
    ใช้งานให้จนหมดซักสองถึงสามครั้งแล้วชาร์ตจนเต็ม

         4. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ร้อน เพราะแสงแดดจะทำให้ Cell battery ร้อน
    และเสื่อมสภาพเร็วกว่าปรกติ

         5. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้รวมกับสื่อนำไฟฟ้าอื่น ๆ หรือในกล่องที่นำไฟฟ้าได้ 
    เพราะหลายครั้งที่แบตเตอรี่เสียเนื่องมาจากเกิดการชาร์ตในระหว่างการเก็บ เช่น มีเศษเหรียญ
    ไปโดนบริเวณขั้วแบตเตอรี่ทั้งสองขั้ว เป็นต้น

         6. เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และต้องการเปลี่ยน cell battery ภายใน ควร
    เลือกที่จะให้ทางศูนย์บริการเปลี่ยนให้ หรือซื้อจากศูนย์ฯ โดยตรง เพราะการเปลี่ยน
    cell batery ภายในนั้นหลายครั้งที่มีการใส่ cell ผิดแบบผิดประเภท จนทำให้เครื่องพังได้

         7. อย่าลืมติดตามข่าวสารด้าน Technology จากเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น ล่าสุดมีข่าว
    แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คระเบิดซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตก็ได้ทำการแจ้งข่าวสารผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตเอง
    เรียก Battery รุ่นที่มีปัญหากลับคืน เพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ เป็นต้น
         * ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ยืดอายุการใช้งาน Battery และ Notebook ของคุณได้
    นานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำไปวิธีนี้ไปใช้งานกับ Battery ในกลุ่มของ Lithium-ion ได้อีกด้วย